หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ต่อศักดิ์ จินดาสุขศรี และชานันท์ ยอดหงษ์ พูดถึงนิยามของคำว่า "สหาย" หรือ "comrade" ที่ใช้เรียกขานเพื่อนร่วมอุดมการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศส และขยายไปสู่การปฏิวัติในโซเวียตรัสเซีย จีน และแพร่ขยายไปทั่วโลก พร้อมแนะนำหนังสือ Comrade: An Essay on Political Belonging (2019) by Jodi Dean ว่าคำนี้สำคัญกับขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม และทฤษฎีฝ่ายซ้ายอย่างไร
ส่วนในภาษาจีนคำว่า "สหาย" หรือ "ถงจื้อ (同志)" ที่แปลว่า "เจตจำนงเดียวกัน" เริ่มต้นนำมาใช้โดยซุน ยัตเซ็น เพื่อเรียกผู้ติดตามพลพรรคจีนคณะชาติ แต่ภายหลังที่จีนคอมมิวนิสต์สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน คำนี้ก็ถูกใช้เรียกขาน "สหาย" ในความหมายแบบพลพรรคคอมมิวนิสต์ ใช้เรียกทุกคนทุกเพศ อย่างไรก็ตามคำว่า "ถงจื้อ" กลายเป็นศัพท์เรียกขานบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBT+ โดยชายรักชายในมาเก๊า ฮ่องกง และจีน แทนความหมายการเมืองแบบเดิม ทั้งหมดนี้ติดตามได้ในรายการหมายเหตุประเพทไทย
หลังพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โจทย์สำคัญเรื่องหนึ่งที่ถูกทวงถามคือ การจัดการกับคดีการเมืองที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะคดีคนรุ่นใหม่ที่เคลื่อนไหวช่วง 2563-2564 ซึ่งทางออกของฝ่ายบริหารที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือ การออกกฎหมาย ‘นิรโทษกรรม’ ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยพยายามนำเรื่องนี้เข้าสู่การจัดการปัญหาในรัฐสภา
ขัตติยา สวัสดิผล สส.พรรคเพื่อไทย เสนอให้ตั้ง กมธ.ศึกษาแนวทางการตรากฎหมายนิรโทษก่อน เพื่อให้ทุกส่วนได้พูดคุยกัน ในเดือน ก.พ.2567 สภามีมติตั้ง กมธ.วิสามัญ โดยมีตัวแทนจากทุกพรรคเข้าร่วม ประชุมร่วมกันอยู่ 6 เดือน ดูทุกเอกสาร ทุกรายงาน ทุกกฎหมาย ทุกงานวิชาการ และฟังเสียงจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ออกมาเป็น ‘รายงานผลการศึกษา’ ซึ่งสรุปเป็น 3 แนวทางแบบไม่ฟันธงสำหรับ ‘คดีอ่อนไหว’ (อ่านรายละเอียด)
หากดูภาพรวมการอภิปรายหลายชั่วโมงในวันที่ 17 ต.ค. ก่อนรองประธานสภาจะปิดการประชุมไปก่อนลงมติ พบว่า พรรคภูมิใจไทย-พรรคประชาธิปัตย์-พรรครวมไทยสร้างชาตินั้น ไม่เห็นด้วยกับรายงานของ กมธ. เพราะการมีข้อเสนอทางเลือกเกี่ยวกับการรวมมาตรา 112 อยู่ด้วย แม้จะมีคณะกรรมการกลั่นกรองพิจารณา เสียงคัดค้านนั้นสอดประสานกันอย่างดี อาทิ
สส.ภูมิใจไทย เชื่อมโยงไปไกลว่า การนิรโทษกรรมเท่ากับเป็นการยกเลิก ‘มาตรา 112’ ขณะที่ทางประชาธิปัตย์ระบุว่า ในประวัติศาสตร์การนิรโทษกรรมที่ผ่านมาไม่เคยมีการนิรโทษกรรมมาตรา 112 และมันจะขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ที่ห้ามผู้ใดล่วงละเมิดสถาบัน รวมถึงอาจขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ทั้งยังเห็นเช่นเดียวกับพรรครวมไทยสร้างชาติว่าการรับรองรายงาน กมธ.ที่แม้จะไม่ฟันธงว่านิรโทษกรรมจะรวมมาตรา 112 หรือไม่ ก็เป็น ‘สารตั้งต้น’ สร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลในการยกร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่รวมมาตรา 112 ด้วย
กมธ.ลุกขึ้นชี้แจงหลายคน โดยย้ำว่า
1. กฎหมายนิรโทษกรรมช่วง 6 ต.ค.19 นั้นมีจำเลยที่โดยคดีมาตรา 112 ด้วย ที่บอกว่าไม่เคยนิรโทษกรรมมาตานี้จึงไม่เป็นจริง
2. การนิรโทษกรรม แม้หากรวมความผิดมาตรา 112 ก็ไม่ได้แปลว่าจะยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 ตัวกฎหมายยังอยู่ หากทำผิดอีกก็ยังต้องโดนลงโทษ เพียงแต่การนิรโทษกรรมเป็นการยกเว้นความผิดบางช่วงเวลาเพื่อออกจากความขัดแย้ง
3. มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา ไม่ใช่เกี่ยวข้องกับมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ เพราะมาตรา 6 เป็นการบัญญัติเพื่อเน้นย้ำสถานะความเป็นกลางทางการเมืองของสถาบันกษัตริย์และผู้ใดจะฟ้องร้องต่อศาลไม่ได้
4. คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องล้มล้างการปกครองเพราะการเสนอแก้มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลนั้น ศาลมิได้ห้ามแตะต้องเรื่องนี้ และแม้จะเสนอแก้ไขก็กระทำได้หากเป็น ‘กระบวนการนิติบัญญัติโดยชอบ’
ในส่วนของพรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคเพื่อไทยนั้น มี สส.ที่อภิปรายว่าควรต้องผ่านรายงานนี้ เพื่อหาทางแก้ปัญหาความขัดแย้ง แต่โดยส่วนตัวนั้นไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมมาตรา 112 เพราะมีความกังลในแง่การสร้างความขัดแย้งระลอกใหม่
นอกเหนือจากนี้ยังมีรายละเอียดทั้งการต่อต้านรายงานฉบับนี้ และความจำเป็นที่ต้องผ่านรายงานฉบับนี้อีกหลายประเด็น รายละเอียดมีดังนี้
ชูศักดิ์ ศิรินิล ประธาน กมธ.กล่าวชี้แจงเป็นคนแรกว่า
สส.ที่อภิปรายต่อต้านรายงานนี้อย่างถึงพริกถึงขิงมากที่สุด มิใช่ในทางเนื้อหาเท่ากับท่าที นั่นก็คือ สส.พรรคภูมิใจไทย
สนอง เทพอักษรณรงค์ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า พรรคต้องการให้ชาติบ้านเมืองเดินหน้าไปได้ ให้เกิดความรักความสามัคคี และพร้อมให้มีการนิรโทษกรรมแต่ต้องแยกให้ชัดเจนว่าว่าไม่มีการนิรโทษกรรม มาตรา 112
ในรายงาน กมธ.ไม่มีการแยกแยะว่าอะไรที่นิรโทษกรรมได้ อะไรที่ไม่ได้ สำหรับพรรคภูมิใจไทย อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค และ สส.ทุกคนประกาศชัด เรายอมยกโทษให้ในทุกกรณี ยกเว้นการยกเลิกมาตรา 112 เรายอมรับไม่ได้ ทำยังไงก็ยอมรับไม่ได้
"ไม่เถียงว่าประเทศไทยมีการนิรโทษหลายครั้ง แต่ถามว่าความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกแยกในอดีตถึงปัจจุบัน มีครั้งไหนบ้างที่ล่วงล้ำก้ำเกินสถาบันสูงสุดมากเท่าปัจจุบันนี้ ท่านไปทำความเดือดร้อนอะไรให้พวกเรา
“ถ้ายอมให้ผ่านความเห็นชอบจากสภานี้ แล้วจะไปตรา พ.ร.บ.ที่นิรโทษกรรมให้มาตรา 110, 112 คนของภูมิใจไทย จะไม่เป็นมิตรและไม่ยินยอมกับการกระทำในครั้งนี้ เรายืนยันเจตนารมณ์จงรักภักดีและปกป้องสถาบันถึงที่สุด"
นันทนา สงฆ์ประชา สส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า การนิรโทษกรรมคือการลืมความผิด เพื่อประโยชน์ในสังคมหรือทางการเมือง ในประวัติศาสตร์กฎหมายนิรโทษกรรม 23 ฉบับ มีสาระเพื่อยกเว้นโทษให้คณะรัฐประหาร 11 ฉบับ ยกเว้นโทษให้กลุ่มพยายามทำรัฐประหาร หรือกบฏ 6 ฉบับ ยกเว้นโทษให้สลายการชุมนุม ผู้ชุมนุม 3 ฉบับ ยกเว้นโทษให้ผู้ต่อต้านสงครามสงครามกับญี่ปุ่น ผู้ต่อต้านการปฏิวัติ และนักศึกษา ประชาชนที่เข้าร่วมกับ พคท.จะเห็นได้ทุกครั้งมีหลักการชัดว่า ยกเว้นโทษให้ใคร เพื่อะไร ส่งผลความปรองดองกับประเทศอย่างไร
“จากการศึกษารายงานอย่างถ่องแท้ รายละเอียดเนื้อหาเขียนแบบกำกวม ไม่ฟันธง มีแนวทางไม่ชัดเจน ทำไม กมธ.ไม่เอาบทเรียนในอดีตที่ได้กล่าวมาเป็นกรอบในการวางประเด็น ฐานความผิดที่ชัดเจนบนฐานการต่อสู้ทางการเมือง การชุมนุม ความมั่นคง พรรคภูมิใจไทยยินดีร่วมพิจารณาการนิรโทษด้วยอย่างยิ่ง”
"แต่ในความชัดเจนของพรรคภูมิใจไทย ท่านก็ทราบดีแล้วว่า พรรคเรามีเลือดสีน้ำเงินอันเข้มข้น เช่นเดียวกับคนไทยทุกคน เรามีจุดยืนที่จะไม่แตะต้องและพร้อมปกป้องมาตรา 112 ด้วยชีวิต โดยภูมิใจไทยจะไม่เห็นด้วยที่กับการแตะต้องมาตรา 112 อย่าว่าแต่พิจารณา แม้แต่เพียงแตะต้องก็ไม่ได้ เราไม่มีทางพิจารณาเด็ดขาด เพราะความผิด 112 ไม่ใช่ความผิดทางการเมือง ภูมิใจไทยจะไม่ร่วมพิจารณารายงานฉบับนี้ด้วยในทุกกรณี ถ้ามีมาตรา 112"
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่าตนและ สส. พรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นชอบกับรายงานผลการศึกษาฉบับนี้ และก็จะไม่เห็นชอบอีกเช่นกัน ถ้าที่ประชุมเห็นควรส่งให้รัฐบาลไปพิจารณาดำเนินการ
การนิรโทษกรรมในอดีตเคยทำกันมาแล้วถึง 23 ครั้ง แต่ไม่เคยมีการนิรโทษกรรมการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 110 ความผิดฐานประทุษร้ายต่อพระราชินี รัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และ มาตรา 112 ความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายฯ
มาตรา 112 นั้น มีไว้เพื่อคุ้มครองประมุขเฉกเช่นอารยประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศในระบอบประชาธิปไตย ระบบประธานาธิบดี หรือพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ว่าจะเป็นเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี สเปน เดนมาร์ก หรืออีกหลายประเทศล้วนแล้วแต่มีบทคุ้มครององค์ประมุขของประเทศด้วยกันทั้งสิ้น
รัฐธรรมนูญไทยยังระบุไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ชัดเจนว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้” ตรงนี้จึงเป็นที่มาว่าทำไมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยจึงไม่เคยมีการนิรโทษกรรมในความผิดมาตรา 110 และมาตรา 112
จุรินทร์ กล่าวต่อไปว่า ถ้าจะมีการนิรโทษกรรมในอนาคตควรยืนอยู่บนหลักการ 5 ข้อ
1. ต้องนำไปสู่การสร้างความปรองดอง ไม่ใช่สร้างความขัดแย้งแตกแยกครั้งใหม่ ต้องเป็นการเห็นพ้องต้องกันของสังคม
2. ต้องไม่ทำเพื่อตัวเอง เพราะจะเกิดแรงต้านครั้งใหญ่ ดังเช่นที่เราเคยได้รับบทเรียนกันมาแล้ว
3. ต้องไม่เป็นการสร้างแรงจูงใจ เป็นหัวเชื้อให้เกิดการกระทำผิดซ้ำขึ้นอีก
4. ต้องไม่สุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมาย หรือเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ หรือแม้แต่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีผลผูกพันทุกองค์กร
5. ต้องไม่รวมความผิด 3 ฐานสำคัญ คือ 1) ฐานทุจริตคอร์รัปชัน 2) คดีอาญาร้ายแรง 3) มาตรา 110 และมาตรา 112
จุรินทร์ กล่าวอีกว่า เหตุผลที่ตนและพรรค ปชป. ไม่เห็นด้วยกับรายงานฉบับนี้ และไม่เห็นควรส่งรัฐบาลคือ รายงานของ กมธ.ฉบับนี้ได้รวมแนวทางการนิรโทษกรรมคดี 110 และ 112 เอาไว้ด้วย เป็นหนึ่งในทางเลือก ถือเป็นความล่อแหลม รวมถึงข้อสังเกตของกรรมาธิการ อาจกลายเป็นสารตั้งต้นในการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่รวมความผิดมาตรา 110 และ 112 ต่อไปได้
ธนกร วังบุญคงชัยชนะ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อภิปรายว่า ไม่ได้ขัดข้องกับรายงานของ กมธ. แต่ต้องไม่รวมมาตรา 112 การนิรโทษกรรมถูกออกแบบมาเพื่อความผิดทางการเมือง แต่ความผิดตามมาตรา 112 ไม่ใช่การเมือง พรรค รทสช.จะคัดค้านถึงที่สุด
นอกจากนี้รัฐธรรมนูญยังระบุในมาตรา 6 ผู้ใดจะละเมิดมิได้ วันนี้นักร้องเยอะแยะมากกมาย ถ้าปล่อยเรื่องนี้ไปพวกเราอาจโดนร้องจริยธรรม และเมื่อดูคนไทย 70 กว่าล้านคน มีคนที่โดนคดี 112 เพียง 300 กว่าคดี
"ผมเห็นใจเยาวชนน้องๆ หลายคน แต่คนอยู่เบื้องหลังไม่เห็นออกมาแสดงความรับผิดชอบอะไร เคยเจอไบรท์ ชินวัตร ตอนนี้เขาติดคุกอยู่ เคยได้คุยกับเขาเขาสำนึกผิดแล้วก็น่าเห็นใจ น้องๆ เยาวชนหลายคนเดินทางออกนอกประเทศไป ก็น่าเห็นใจเยาวชนเหล่านี้"
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเรื่องกระทบความมั่นคงของประเทศเพราะเป็นการลดความสำคัญของการปกป้องสถาบันและกระทบต่อความมั่นคงประเทศอย่างชัดเจนที่สุด
ผลการศึกษาเป็นสารตั้งต้น ถ้าจะส่งเรื่องให้ ครม. ต้องเขียนให้ชัดเจนเลยว่า มิให้การกระทำความผิดตามมาตรา 112 ได้รับการนิรโทษกรรม
"ผมเป็นพรรคร่วมรบ.เรามีหลายอย่างต้องไปทำ เรื่องปากท้อง เรื่องเศรษฐกิจ ก็ต้องแก้ ความเดือดร้อนของคน 70 ล้านคนสำคัญกว่า ไม่ใช่ไม่เห็นใจเยาวชน แต่ที่ผ่านมาเป็นการกระทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ได้สำนึกผิด และคนที่อยู่เบื้องหลังควรไปบอกน้องๆ เลยว่ากระกระทำแบบนี้มันไม่ถูกต้อง สถาบันอยู่เหนือการเมืองและไม่เกี่ยวกับการเมือง ผมไม่เชื่อว่าถ้าไม่มีคนอยู่เบื้องหลังแล้วน้องๆ จะออกมา ผมเห็นใจ หลายคนผมเห็นใจมาก เพราะถูกชักชวนมา วิธีการแก้พวกท่านต้องไปทำความเข้าใจกับน้องๆ เหล่านี้ไม่ให้กระทำอีก"
รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการ ชี้แจงว่า กมธ.ชุดนี้ไม่ใช่ กมธ.ศึกษาเพื่อแก้ไขหรือยกเลิก ม.112 แต่ศึกษาเรื่องแนวทางในการนิรโทษ
รายงานฉบับนี้จะเป็นสารตั้งต้น เป็นหัวเชื้อหรือไม่ ขึ้นอยู่กับรัฐบาล ที่ผ่านมาเราพิจารณารายงานหลายฉบับ แต่ก็ไม่ทราบว่ารัฐบาลจะปฏิบัติมากน้อยเพียงใด รัฐบาลจะทำตามข้อแนะนำของสภาแค่ไหน ยังเป็นเครื่องหมายคำถาม
ส่วนความพยายามจะโยงมาตรา 112 กฎหมายอาญา กับมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญนั้นไม่ถูกต้อง สาระสำคัญมาตรา 6 คือการสะท้อนของหลักความเป็นกลางของสถาบันกษัตริย์ในระบอบการปกครองที่สถาบันอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ เป็นหลักพื้นฐานของประชาธิปไตย ถ้าพิจารณาการเมืองการปกครองของประเทศต่างๆ ที่มีสถาบัน หลายประเทศมีกฎหมยในลักษณะปกป้องสถาบัน แต่ประเทศเหล่านั้นก็ไม่มีการบังคับใช้ ญี่ปุ่นก็ไม่มีกฎหมายลักษณะนี้แล้ว ข้อกล่าวอ้างว่าประเทศต่างๆ มีกฎหมายลักษณะแบบนี้ เป็นข้อกล่าวอ้างที่ไม่ถูกต้อง
ยิ่งกว่านั้น หากเราไปดูคำแนะนำของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะกระเทศที่มีสถาบัน คำแนะนำจำนวนมากล้วนแสดงถึงความกังวลต่อการใช้กฎหมายลักษณะแบบนี้ของไทย เพราะมีการกล่าวหารุนแรง และหากตัดสินว่ามีความผิดจะมีคนจำนวนนับร้อยที่มีความผิดรุนแรง หลายคนจะต้องอยู่ในคุกถึง 40 ปีด้วยซ้ำไป
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะหาทางออกทางการเมือง ข้อเสนอหลายส่วนเราตัดสินใจกำหนดลงไปว่าควรไปทิศทางไหน แต่เรื่องมาตรา 112 แม้แต่ใน กมธ.ยังมีความเห็นแตกต่างกัน อยากให้สภารับรายงานฉบับนี้ แล้วไว้ส่งต่อให้ ครม. มันคือสารตั้งต้นในการหาทางออกให้กับบ้านเมืองนี้ที่มีความขัดแย้งเป็นเวลานาน ทำไมเปิดประตูบานนี้เพื่อหาทางออกทางการเมือง เราไม่ควรนำคนที่เห็นต่างทางการเมืองไปคุมขังไปจำคุก อย่างน้อยมันคือการคลี่คลายผลทางการเมืองที่เกิดขึ้นไปแล้ว เปิดฝาหม้อให้น้ำที่เดือดและรอวันระเบิด ได้ปล่อยออกมา และเชื่อว่าประเทศเราช่วยกันหาทางออกได้
เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง นักวิชาการด้านกฎหมาย หนึ่งใน กมธ.ชี้แจงว่า การยุติข้อขัดแย้งเพื่อสร้างสังคมสันติสุข ต้องมีความยุติธรรมบางอย่างเกิดขึ้นก่อน ความยุติธรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หน้าหนึ่งคือการใช้อำนาจ ใช้การลงโทษตามกฎหมาย แต่ในอีกแง่หนึ่งความเมตตา การให้อภัย สังคมไทยใช้การลงทัณฑ์มาตลอด และมันไม่นำไปสู่จุดของความสามัคคี
มาตรา 112 กับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าองค์พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ ล่วงละเมิดมิได้ จะฟ้องร้องล่วงเกินอำนาจพรองค์ไม่ได้ นั้นเป็นคนละเรื่อง เรายังสามารถพูดคุยกฎหมายที่ปกป้องสถาบันได้
ส่วนตัวคำวินิจฉัยศาลบอกว่า ไม่สามารถแก้ไข เพิ่มเติมมาตรา 112 ในลักษณะที่ผู้ถูกร้องทำอยู่ แต่ถ้าเป็นกระบวนการนิติบัญญัติโดยชอบ สามารถทำได้ การนิรโทษกรรมนั้นนั้นไม่ได้ขัดกับคำวินิจฉัยเลย ตัวกฎหมายมาตรา 112 ก็ยังอยู่ หากทำผิดก็ยังโดนลงโทษได้อีก
ชัยธวัช ตุลาธน หนึ่งใน กมธ. ชี้แจงว่า สมาชิกบางท่านอภิปรายว่า ที่ผ่านมาเราไม่เคยนิรโทษ 112 ถ้านิรโทษกรรมแล้วจะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 หรือขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ อยากให้ข้อมูลข้อเท็จจริง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในเหตุการณ์ 6 ต.ค.19 บังคับใช้เมื่อ ก.ย.21 เป็นการนิรโทษให้กับการกระทำในธรรมศาสตร์และนอกมธ. และเจาะจงนิรโทษคดี 2 คดี คือ คดีในศาลทหารกรุงเทพและศาลอาญา ซึ่งทั้งสองคดีนี้จำเลยถูกฟ้องหลายข้อหารวมถึง มาตรา 112 ด้วย ดังนั้น ระบบกฎหมายไทยเคยมีการนิรโทษกรรมความผิด มาตรา 112 มาแล้ว และไม่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจาก มาตรา 6 พูดถึงหลักการขององค์พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยว่าทรงมีความเป็นกลางในการเมือง ความหมายของ ‘การละเมิดมิดได้’ เอกสารของรัฐสภาเองก็บันทึกไว้ว่าหมายถึงไม่สามารถมีใครฟ้องร้องดำเนินคดีในชั้นศาลได้
ส่วนที่บอกว่านิรโทษกรรมคดี 112 จะขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเรื่องล้มล้างการปกครอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกันเลย เพราะคำวินิจฉัยศาลเกี่ยวกับการกระทำ 2 เรื่องเท่านั้นคือ 1) ห้ามไม่ให้แสดงความเห็นรณรงค์ให้ยกเลิก ม.112 และ 2) ไม่ให้แก้มาตรา 112 ด้วยกระบวนการนิติบัญญัติที่ไม่ใช่กระบวนการนิติบัญญัติโดยชอบ
วีรนันท์ ฮวดศรี สส.ขอนแก่น พรรคประชาชน อภิปรายว่า รายงาน กมธ.กำหนดผู้ต้องหา 112 อาจไม่เข้าข่ายนิรโทษกรรม นั่นคือ “ความอ่อนไหวที่คลุมเครือ”
ฐานความผิดต่อความมั่นคง ก่อการร้าย ทำร้ายร่างกาย ทำให้เสียทรัพย์ ฝ่าฝืนพรก.ฉุกเฉิน ชุมนุม ต่างรวมในคดีหลักและรอง ไม่ใช่ ‘คดีอ่อนไหว’ มีแต่เพียงสองอันคือ มาตรา 110, 112 ที่บอกว่า ‘อ่อนไหว’ กล่าวเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้นิรโทษคดีอื่นๆ แต่คำถามคือ 112, 110 ทำไมถูกแยกออกมา ทั้งที่อยู่ในคดีหลักคดีรองได้อยู่แล้ว
ดูแล้วคดี 112 เสี่ยงจะถูกกันออกจากการนิรโทษกรรมในครั้งนี้ ทั้งที่ผู้ต้องหาก็ได้รับผลกระทบทางการเมืองไม่ต่างจากคนอื่นๆ
อีกเรื่องหนึ่งคือ แรงจูงใจทางการเมือง ที่กำหนดเป็นเงื่อนไขไว้ เรื่องนี้เห็นด้วยแต่กรอบค่อนข้างแคบ หัวใจของนิรโทษ คือ การเปิดกว้างเพื่อหาทางออกจากความขัดแย้ง จะมีอีกหลายคดีที่ไม่แน่ว่าจะอยู่ในเงื่อนไขนี้ เช่น ผู้ต้องหาคดี 112 ที่เป็นผู้ป่วยจิตเภท มีบางคนต้องเดินทางจากลำพูนถึงนราธิวาส คนเหล่านี้จะนับว่ามีแรงจูงใจทางการเมืองหรือไม่
"ถ้าการนิรโทษกรรมจะทำให้สังคมไทยเดินหน้า ก้าวข้าวมความขัดแย้ง คนอย่างอานนท์ นำภา จะได้เดินหน้าไปกับนิรโทษครั้้งนี้ด้วยไหม ป้าอัญชัญที่โทษจำคุกหลายสิบปี กำลังฉลองวันเกิดวัย 69 ปีในเรือนจำ และคนอื่นๆ ในเรือนจำเวลานี้จะได้เดินไปกับเราไหม เราจะก้าวข้าวมความขัดแย้งแล้วทิ้งพวกเขาไว้ข้างหลังอย่างไม่แยแสอย่างนี้หรือ"
ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์ทนายความสิทธิมนุษยชน เมื่อ 11 ต.ค. 2567 ระบุว่า มีผู้ต้องหาคดีการเมืองถูกคุมขังในเรือนจำ ทั้งสิ้น 41 คน ในจำนวนนี้มีถึง 28 คนเป็นคดี 112
คำถามคือ ถ้าไม่นิรโทษกรรมคนที่ถูกขังจริงๆ เรากำลังทำอะไรกันอยู่
นพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า รายงานฉบับนี้ไม่ใช่ฉบับที่เป็นข้อยุติ เป็นรายงานที่สภาสามารถพิจารณาเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยได้ และไม่ได้มีผลนิรโทษกรรมแต่อย่างใด ถ้าแต่ละพรรคจะผลักดันการนิรโทษก็ต้องไปคุยกับสมาชิกแล้วเสนอร่างเข้าสภาในอนาคต ซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านต้องตอบสังคมและรับผิดชอบต่อสังคมว่าเสนอเช่นนั้นเพราะเหตุใด ดังนั้น จึงไม่มีประเด็นอะไรในชั้นนี้ที่มีความขัดแย้ง
หลักใหญ่ๆ ของรายงานคือ การเสนอแนวทางการตรากฎหมาย คดีที่อยู่ในข่ายนิรโทษกรรมควรมีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง ไม่ใช่คดีอาชญากรรมทั่วไป เกิดในช่วงเวลาหนึ่งเวลาใด อาจารย์หลายท่านไปศึกษาตัวอย่างคดีและมาตราต่างๆ ที่ควรได้รับนิรโทษกรรมมาเป็นลิสต์ให้สภาไปศึกษาเพิ่มเติมได้ หากยังมีคดีอื่นๆ เสนอเพิ่มก็สามารถทำได้
ยืนยันละเอียดอ่อน ยังมีเวลาหาฉันทามติ
ข้อสังเกตในฐานะเป็น สส.พรรคเพื่อไทย มีข้อสังเกตดังนี้
1. การนิรโทษกรรมต้องบรรลุวัตถุประสงค์ คือ สร้างความปรองดองสมานฉันท์ในชาติ นำไปสู่ความเป็นเอกภาพทางการเมือง ความมั่นคงทางการเมือง เพื่อเรียกร้องความเชื่อมั่นจากนักลงทุน เพิ่มขีดความสามารถของประเทศ เพราะเสถียรภาพทางการเมืองกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
2.การนิรโทษกรรมคดีที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองและมีกรอบระยะเวลา เห็นด้วยกับ กมธ.
3. มีบางเรื่องที่เรายังไม่ตกผลึก ไม่มีฉันทามติของสังคมว่า บางความผิดควรนิรโทษกรรมหรือไม่ เห็นด้วยกับ ปธ.กมธ.ว่า การนิรโทษต้องไม่นำไปสู่การขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหม่ เช่น 112 110 กมธ.ก็มีข้อสรุปที่ไม่มีข้อสรุป เป็นลักษณะ 3 แนวทาง
“โดยส่วนตัวมีจุดยืนอย่างนี้ หนึ่ง การนิรโทษกรรม มาตรา 110,112 เป็นเรื่องละเอียดอ่อน สอง ความผิด 112 เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงของชาติ สาม สังคมมีความเห็นหลากหลายแตกต่างกันมาก ยังมีเวลาแสวงหาฉันทามติในประเด็นนี้ต่อไปได้อีก ผมเองยึดมั่นในระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จึงไม่เห็นด้วยกับการรวม 112, 110 ในการนิรโทษกรรม”
นิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) และเลขาฯ กมธ. กล่าวว่า ในการทำรายงานการศึกษาทำกันอย่างละเอียด มีหลายความเห็นในนั้น การรวบรวมความเห็นเสนอต่อที่ประชุมเป็นภารกิจที่จำเป็นในทางการเมือง ประเด็นมาตรา 110 ,112 สรุปไว้แล้วในรายงาน กมธ.เห็นว่าเป็นคดีที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง ไม่ได้มีข้อสรุปว่าควรนิรโทษกรรมหรือไม่ เพียงแต่ศึกษาข้อดีข้อเสียในคดีทุกแบบ และเนื่องจากมีความเห็นต่างอย่างมีนัยสำคัญ กมธ.จึงไม่พึงประสงค์จะโหวต เพราะจำนวนบุคคลไม่สามารถสะท้อนความเห็ความเชื่อของ กมธ.ได้ จึงเปิดโอกาสให้ กมธ.รวมถึงที่ปรึกษาแต่ละท่านชี้แจงแสดงความเห็น
ลักษณะแบบนี้ไม่ใช่ไม่เคยทำ เคยทำตอนศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ที่มีพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นประธาน เพราะความเห็นต่างนั้นมีมาก ก็มีการเรียงความเห็นมาในรายงานและสภานี้ก็เคยเห็นชอบแล้วและเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่ได้นำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเลย สุดท้ายสภาแก้ได้อย่างเดียวคือระบบเลือกตั้ง
"ผมเองให้ความเห็นใน กมธ.ว่า ไม่เห็นด้วยกับนิรโทษกรรมมารตรา 110,112 เนื่องจากที่ผ่านมามีการดำเนินการเกี่ยวกับการปรองดองและสมานฉันท์ ไม่มีฉบับใดเลยเสนอให้นิรโทษกรรม 110,112 เป็นคดีที่มีความอ่อนไหว กรณีนี้เป็นผลกระทบทางบวกและทางลบ ต้องพิจารณาอย่างระมัดระวัง อาจนำสู่ความขัดแย้งได้อีก ประเด็นที่สอง เห็นว่าถ้านิรโทษอาจจะขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ศาลเคยชี้ว่าต้องมีกฎหมายคุ้มครองการละเมิดสถาบันสูงสุด ผมเชื่อด้วยตัวเองว่า ถ้าเสนอรวม 112 ด้วยจะไม่ผ่าน ถูกร้องว่าขัดรัฐธรรมนูญแน่ และในฐานะ สส.พรรคชาติไทยพัฒนา ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมมาตรา 112 เรียกว่าบันทึกไว้หมด และกมธ.ไม่ได้ชี้ว่าต้องเอาความเห็นไหน
"ความผิด 110, 112 ยังคงเป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหวอยู่ เรียกว่ามันชัดทุกตอน ตอนต้น ตอนกลาง ตอนท้าย ไม่สามารถนำไปสู่สารตั้งต้นอะไรได้เลย เป็นเพียงการสรุปความเห็นของสมาชิก ถ้าเรื่องเข้า ครม. พรรคไหนมติเป็นยังไงก็สามารถยืนยันใน ครม.ได้"
หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ชานันท์ ยอดหงษ์ และปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ แนะนำหนังสือ "A Generation Divided: The New Left, the New Right, and the 1960s" (1999) ผลงานของรีเบคกา อี แคลทช์ ที่ฉายให้เห็นภาพของทศวรรษ 1960 ในสหรัฐอเมริกาที่ไม่ใช่แค่ฮิปปี้ ขบวนการสิทธิพลเมือง ฝ่ายซ้ายใหม่ และการต่อต้านสงครามเวียดนามเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดกำเนิดคนรุ่นใหม่ของฝ่ายขวาใหม่อย่างอีกด้วย เมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไปขบวนการนักศึกษาที่เป็นฝ่ายซ้ายใหม่อย่าง Students for a Democratic Society (SDS) รวมทั้งฝ่ายขวาใหม่ Young Americans for Freedom (YAF) เปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองในทศวรรษ 1980 และ 1990 อย่างไรติดตามได้ในรายการหมายเหตุประเพทไทย
หมายเหตุประเพทไทย
การที่เราใช้ชื่อนิทรรศการว่า ซ่อน(ไม่)หา(ย) อาจทำให้หลายๆ คนก็เข้าใจไปว่ามันเป็นนิทรรศการที่ทำเรื่องคนถูกอุ้มหายหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้ว เรารู้สึกว่าชื่อมันครอบคลุมถึงการพยายามของรัฐหรือผู้มีอํานาจในการทําบางอย่างเพื่อซ่อนเรื่องราว ซ่อนคนหรือซ่อนข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เขาไม่อยากให้พูดถึง
แล้วก็ในขณะเดียวกันชื่อมันก็เมนชั่นถึงคนทั่วไปแบบพวกเราทุกคนนี่แหละ ที่เราจะต้องพูดถึงเรื่องราวของบุคคลเหล่านี้ บอกเล่าเรื่องราวของเขาไม่ให้มันหายไป
ส่วน Presumption of Innocence ที่เป็นชื่อภาษาอังกฤษต่อท้าย มาจากแรกเริ่มที่ตัวโครงการนี้มันเคยมีชื่อว่า “สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์มาก่อน” ชื่อนี้จึงเป็นหลักการที่เราต้องการเน้นย้ำในการทํานิทรรศการครั้งนี้เพราะว่าหนึ่งในปัญหาที่มันส่งผลกระทบต่อคนที่โดนคดี 112 ก็เกิดมาจากการที่หลักการนี้มันไม่เคยถูกใช้จริงกับคนที่โดนคดีทางการเมือง ทำให้ในนิทรรศการนี้เรายิ่งจำเป็นต้องตั้งคำถามกับมัน
โจทย์เราต้องการเล่าเรื่องราวของคน แต่ว่าเราก็ไม่อยากให้มันเป็นข้อความยาวเป็นพรืดๆ ประกอบกับข้อดีของการใช้สิ่งของคือมันช่วยเล่าเรื่องของคนได้ดีขึ้น
แล้วพอเราตั้งใจจะเล่าเรื่องของคน เราก็ไม่ได้อยากให้เห็นว่าเป็นเรื่องของนักเคลื่อนไหวคนนั้นคนนี้ในลักษณะที่เจาะจง เพราะว่าหลายๆ ครั้งเราเห็นว่าพอมีนักเคลื่อนไหวที่เปิดหน้าสู้ คนในสังคมก็เหมือนตัดสินไปก่อนที่จะได้รู้จักตัวตนของเขาด้วยซ้ำ ในนิทรรศการจึงอยากสื่อสารเรื่องราวของพวกเขาออกมาโดยที่ไม่ได้ไปเน้นว่าเจ้าของเรื่องราวนั้นคือใคร แล้วจากนั้นก็ปล่อยให้ผู้เข้าชมนิทรรศการได้รู้สึกกับมัน
ใช่ เราไม่ได้บอกตรงๆ ว่าเจ้าของประโยคและเจ้าของเรื่องราวพวกนี้คือใคร แต่เราคิดว่าคนที่เขารับรู้เรื่องข่าวสารการเมืองก็น่าจะรู้ว่าเป็นเรื่องราวของใคร
หรือถ้าเป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยได้ตามข่าว ก็อาจจะรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง หรือไม่รู้เลย ซึ่งก็ไม่เป็นใคร ไม่ได้คาดหวังว่าคนที่เข้ามาดูจะต้องมีความรู้มาก่อน แต่ถ้าหากว่าหลังจากที่เขาดูแล้วเขารู้สึกสนใจมากพอ มันก็อาจจะเป็นแรงกระตุ้นให้เขาไปค้นหาข้อมูลดูเองต่อก็ได้
เพราะว่าเรารู้สึกว่าปัญหาหนึ่งที่คนที่ออกมาเคลื่อนไหวต้องเชิญก็คือ พอคนในสังคมเรารับรู้ว่าคนนี้เป็นนักเคลื่อนไหวแล้วมันก็อาจทำให้ถูกมองด้วยอคติบางอย่าง ซึ่งมันอาจไปลดทอน เบียดบังประเด็นที่พวกเขาต้องการจะสื่อสารไปหมดเลย เราก็เลยมองว่าจะเป็นไปได้ไหม ถ้าเราจะเอาเรื่องราวของพวกเขามาสื่อสารโดยที่ไม่ต้องบอกว่าคนนี้คือใคร คนนี้ชื่ออะไร เพื่อลดอคติบางอย่างต่อการรับรู้และประเด็นที่พวกเขาต้องการส่งเสียง
การใช้เกมครอสเวิร์ดเปรียบได้กับสังคมที่เราอยู่ มีกฎเกณฑ์บางอย่างที่ถูกต้องให้คนต้องเดินตาม บวกกับในแง่ของการทํานิทรรศการ เราต้องการให้คนที่เข้ามาดู มีปฏิสัมพันธ์กับงานด้วย ให้เขาได้ค้นหาคำตอบเพื่อที่จะกรอกมันลงไปให้ครบช่องให้ได้ ครอสเวิร์ดจึงมีหน้าที่คล้ายกับตัวกลาง ให้เขาไล่ทำไปตามแต่ละข้อ เพื่อหาว่าสุดท้ายแล้วคําตอบมันคืออะไร
ความคาดหวังอย่างแรกในการเล่นเกมครอสเวิร์ดครั้งนี้คือ อย่างน้อยคุณได้รับรู้เรื่องราวของคนเหล่านี้ เราว่ามันน่าจะทําให้เขาสะท้อนใจบางอย่าง เพราะว่าเรื่องราวเหล่านี้มันก็คือความฝันความหวังของแต่ละคนที่อยากเห็นสังคมดีขึ้น ซึ่งเราว่าทุกคนมีจุดร่วมตรงนี้กันอยู่
จากที่ได้พูดคุยกับผู้เข้าชมนิทรรศการที่ได้มาลองเล่นแล้ว พบว่ามันให้ความรู้สึกหลากหลายมาก ทุกคนมีความรู้สึกที่แบบแทบไม่เหมือนกันเลย บางคนแบบรู้สึกผิดที่ตอบครอสเวิร์ดไม่ได้ เพราะว่าเขาอาจจะเคยตามข่าวม็อบแต่พอถึงจุดหนึ่งก็ไม่ค่อยได้ตาม บางคนก็ตามข่าวนะ แต่ก็งงว่าทําไมตัวเองตอบไม่ได้ เป็นความรู้สึกเหมือนกับว่าเขายังใส่ใจเรื่องนี้ไม่มากพอ
เซอร์ไพรส์ (ตอบทันที) เพราะว่าบางความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นกับผู้ชมบางกลุ่มเราไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่ามันจะเกิด ความรู้สึกเหล่านี้แล้วแล้วจริงจริงก็ดีเหมือนกันที่ที่ได้พูดคุยกันเพราะว่า
อย่างเช่นที่ยกตัวอย่างไปว่าเขารู้สึกผิด ซึ่งผู้จัดงานหรือศิลปินเนี่ยก็ไม่ได้ตั้งใจให้ใครรู้สึกผิด เพราะเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าทุกคนจะตอบคําถามได้ หรือหวังว่าทุกคนจะได้รับคําตอบแบบเดียวกันหมด เพราะว่าสุดท้ายแล้วมันเป็นงานศิลปะ แล้วแต่ว่าแต่ละคนเขารับสารได้แค่ไหน เขาอยากตีความไปยังไง มันก็เป็นอิสระของแต่ละคนเหมือนกัน
กลุ่มเป้าหมายวางไว้กว้างๆ ประมาณ 2 กลุ่ม ก็คือกลุ่มแรกที่พอรับรู้แหละว่ามาตรา 112 มันมีปัญหาอยู่ แต่ว่าอาจจะไม่ได้รู้ลึกว่าคนที่โดนคดีได้รับผลกระทบอะไรต่อชีวิตบ้าง ส่วนอีกกลุ่มนึงก็คือ ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้มาก่อนเลย หรือไม่รู้สึกว่า ม.112 มีปัญหา
สิ่งที่เราสื่อสารออกไปหรือว่าเรื่องราวหลักในนิทรรศการก็จะเป็นเรื่องราวชีวิตของคนๆ หนึ่ง แสดงให้เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างกับตัวคนๆ นั้น
สิ่งที่น่าสนใจคือ ความที่แกลเลอรีตั้งอยู่ติดกับโรงเรียน แล้วก็อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย ทำให้กลุ่มผู้ชมที่เข้ามาเป็นนักศึกษากับนักเรียนเยอะกว่าที่เราคาดไว้ ซึ่งหลายๆ คนก็ให้บอกเราว่า เขาไม่เคยรับรู้เรื่องราวพวกนี้มาก่อน พอเขาได้รู้มันก็ทําให้เขาสะเทือนใจ เราก็เลยคิดว่า การที่ได้สื่อสารกับคนที่เขาอาจจะไม่ได้สนใจการเมืองแล้วทําให้เขาเห็นมันมากขึ้นน่ะ ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้รู้สึกว่ามันก็ประสบความสําเร็จเหมือนกัน
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
'ประชาทอล์ก' กลับมาอีกครั้งในรูปแบบ VOX POP ประชาไทชวนคุยกับชาวประชา สำรวจความคิดเห็นกลุ่มเปราะบางในกรุงเทพฯ ใช้เงินหมื่นทำอะไรแล้วบ้าง หลังจากผ่านมาหนึ่งสัปดาห์นับจากวันสุดท้ายที่รัฐแจกเงินของเฟสแรกในวันที่ 30 ก.ย. 67 #ประชาทอล์ก #ดิจิทัลวอลเล็ต #PrachaTalk
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
พลอย–เบญจมาภรณ์ เป็นเยาวชนนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่ต้องกลายมาเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่อายุน้อยที่สุด แม้จะได้รับสถานะพำนักถาวรจากรัฐบาลแคนาดา วัยรุ่นคนนี้คงยังไม่เรียกที่นี่ว่าบ้าน เพราะชีวิตยังมีเวลาเติบโตอีกมาก
สองปีที่แล้วก่อนที่จะลี้ภัย ชั้นเรียนสุดท้ายของพลอยคือ ม.5 สายศิลป์ภาษาญี่ปุ่น เมื่อมาย้ายมาอยู่ที่นี่จึงต้องเรียนชั้นมัธยมใหม่ตั้งแต่แรก เพื่อจะได้รับวุฒิการศึกษา ม.6 และก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก สำหรับพลอยผู้ไม่มีทักษะภาษาอังกฤษติดตัวมาเลย ชนิดที่พูดได้แค่ yes, no, ok กว่าจะเข้าที่เข้าทางก็ต้องอาศัยความพยายามอยู่พักใหญ่
หลังตระเวนฝากเรซูเมตามร้านค้าต่างๆ อยู่นาน เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พลอยเริ่มทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านชานมเล็กๆ แห่งหนึ่งในนครแวนคูเวอร์ เหมือนกับฝันที่เป็นจริงเพราะอยากทำงานในร้านชานมมาแต่ไหนแต่ไร ชีวิตจากที่เคยเผชิญอันตรายก็เริ่มรู้สึกมั่นคงปลอดภัย มีเงินมาจ่ายค่าบ้าน ค่ากินอยู่ รวมถึงผ่อนหนี้คืนรัฐบาลแคนาดาที่ก่อนหน้านี้ได้ให้ทุนสำหรับตั้งตัวในการลี้ภัย
“สวัสดีค่ะ ดิฉันนางสาวเบญจมาภรณ์ นิวาส อยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กำลังขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และเป็นผู้ที่ไม่เคยมีอิสระในการเลือกทรงผมเลยตั้งแต่เข้าสู่วงการการศึกษามา”
ย้อนไปเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2563 กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท ซึ่งเป็นกลุ่มนักเรียนที่ผลักดันเรื่องสิทธิมนุษยชนในสถานศึกษา จัดกิจกรรมอภิปรายนอกสภาทางเฟซบุ๊กไลฟ์ พลอยปรากฎตัวในฐานะหนึ่งในผู้อภิปรายก่อนจะเข้าประเด็นปัญหากฎระเบียบทรงผมที่ละเมิดสิทธิต่อเนื้อตัวร่างกายของนักเรียน
แรกเริ่มเดิมที พลอยเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่ตั้งใจเรียนหนังสือ ทำตามกฎทุกอย่าง ไม่เถียงใคร กลัวจะถูกด่าว่า จึงมักทำตามความคาดหวังของคนรอบข้าง สิ่งนี้ทำให้พลอยเป็นคนโปรดของผู้ใหญ่ แต่ในอีกมุมมันก็สร้างภาระทางใจอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่เหมือนกัน
“เราเจ็บปวดจากการเป็นเด็กเชื่องๆ นี่แหละ ครูขอร้องอะไรเราก็ปฏิเสธไม่ได้ พอเวลาเป็นเด็กดี ได้ผลการเรียนดี ไปแข่ง ผู้ใหญ่ก็ใจดีกับเรา มันเจ็บปวดจากการทำตัวตามคาดหวังของสังคม พ่อแม่ก็คาดหวังให้เราเป็นเด็กดี การเรียนดี ครูก็คาดหวังให้เราไปทำกิจกรรมโรงเรียน ทำกิจกรรมหน้าชั้น เพื่อนก็คาดหวังให้เราตอบคำถามในห้อง เราก็ต้องแบกหน้าไปอยู่คนเดียว ครูจะใช้ทำอะไรก็โยนมาที่เราตลอด มันเจ็บปวดจากการเป็นเด็กดีในระบบการศึกษา ทำตามความคาดหวังของคนนั้นนี้ไปหมด เราก็อยากเปลี่ยนแปลงมัน”
การก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ในช่วงปี 2562 จุดประกายความหวังในหมู่คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย โลกออนไลน์คึกคักไปด้วยการถกเถียงในประเด็นสังคมการเมือง โดยเฉพาะในเอกซ์ (ชื่อเดิม–ทวิตเตอร์) แพลตฟอร์มที่คนรุ่นใหม่ๆ ใช้กันเป็นเรื่องปกติ พลอยรับข่าวสารจากแอปฯ นี้ และได้ติดตามแอคเคานต์ของ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มักผลักดันเรื่องสิทธิมนุษยชนในรั้วสถานศึกษา และอดีตเลขาธิการกลุ่มศึกษาเพื่อความเป็นไท
วันหนึ่งเนติวิทย์โพสต์หานักเรียนที่ต้องการร่วมลงชื่อเพื่อเปลี่ยนแปลงกฎทรงผม พลอยเห็นด้วยในเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วก็เลยลงชื่อไปทันที
การลงชื่อครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ได้มารู้จักกับนักเรียน ม.ปลาย คนอื่นๆ ในกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท ความเจ็บปวดจากระบบการศึกษากลายเป็นจุดร่วมที่ทำให้ต่อมาพลอยและเพื่อนกลุ่มนี้ร่วมกันก่อตั้งองค์กรนักเรียนเลว
หลังจากศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2563 พาให้เกิดการชุมนุมของคนรุ่นใหม่ในหลายมหาวิทยาลัย ลุกลามให้ม็อบต่อต้านรัฐบาลขณะนั้นผุดขึ้นตลอดปี ปรากฎการณ์การประท้วงในระลอกนั้นถูกประกอบสร้างขึ้นทั้งจากชะตากรรมของพรรคอนาคตใหม่ ความรู้สึกไม่เป็นธรรมทางการเมืองที่มีมาตลอดทศวรรษ ปัญหาเศรษฐกิจ และความไม่พอใจมาตรการจัดการโควิด-19 ที่กำลังระบาด
นักเรียนเลวเป็นหนึ่งในกลุ่มที่เคลื่อนไหวคู่ขนานไปกับการชุมนุมในภาพใหญ่ เด็กมัธยมกลุ่มนี้เปลี่ยนความคับข้องใจจากการถูกกดขี่โดยระบอบอำนาจนิยมในโรงเรียนให้กลายเป็นแคมเปญรณรงค์หลายรูปแบบ
เดือนมกราคม ปี 2564 พลอยขณะนั้นอายุ 16 ปี เป็นหนึ่งในเยาวชนที่ถูกอัยการสั่งฟ้องข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากการเข้าร่วมการชุมนุม “15ตุลาไปราชประสงค์” เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2563 ภายหลังจากการเข้าสลายการชุมนุมบริเวณทำเนียบรัฐบาลเมื่อเช้ามืดของวันเดียวกัน
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่าแรกเริ่มพอยตั้งใจขับเคลื่อนเฉพาะประเด็นการศึกษาเพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุด แต่เมื่อได้ศึกษาหาข้อมูลมาเรื่อยๆ ก็พบว่าเมืองไทยยังมีปัญหาอีกมากในหลายด้าน แต่ละปัญหาก็เกี่ยวพันแยกกันไม่ขาด บางเรื่องก็เข้าใจมากเป็นพิเศษด้วยความที่เจอมากับตัว
การวาดรูปและเขียนนิยายคืองานอดิเรกของพอย เจ้าตัวมีความฝันอยากทำงานเขียนเป็นอาชีพ แต่การจะเลี้ยงตัวเองได้ด้วยสิ่งนี้มันก็ยากมากๆ เรื่องความไม่มั่นคงทางอาชีพของแรงงานสร้างสรรค์จึงเป็นอีกเรื่องที่พอยมักจะออกมาส่งเสียง
อีกเรื่องคือความเท่าเทียมทางเพศ ในสมัยยังเป็นเยาวชนเคยประกาศว่าอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเองคือนอนไบนารี (คนที่ไม่เห็นว่าเพศของตัวเองจำกัดอยู่กับเฉพาะกับเพศชายและเพศหญิงเท่านั้น) โดยพยายามสร้างความเข้าใจว่ามีคนกลุ่มนี้อยู่จริง เนื่องจากในยุคที่ผู้คนเริ่มมีความตระหนักรู้ในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องความหลากหลายทางเพศ แต่ก็ยังคงมีการล้อเลียน กระทั่งปฏิเสธการมีอยู่ของนอนไบนารี
รู้ตัวอีกทีก็กลายมาเป็นเยาวชนนักกิจกรรมที่ส่งเสียงหลายๆ ประเด็นไปพร้อมๆ กัน รวมถึงเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ซึ่งอย่างหลังนี้ส่งผลให้ชีวิตพลิกผันจนถึงขั้นกลายเป็นผู้ลี้ภัย
ตามข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน พลอยขณะนั้นเคลื่อนไหวทางการเมืองกับกลุ่มทะลุวัง ถูกดำเนินคดีในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จำนวน 2 คดี
สำหรับคดีแรก พลอยพร้อมด้วย เมนู–สุพิชฌาย์ ชัยลอม และ ใบปอ–ณัฐนิช ถูกจับกุมที่จังหวัดเพชรบุรีขณะกำลังเดินทางไปพักผ่อนจากการถูกกล่าวหาว่าแชร์โพสต์งบประมาณสถาบันกษัตริย์จากเพจทะลุวัง เนื่องจากพลอยอายุไม่ถึง 18 ปีจึงถูกแยกดำเนินคดีในศาลเยาวชน (อ่านคำฟ้อง)
ส่วนคดีที่สอง จากกรณีร่วมกิจกรรมกับกลุ่ม “ทะลุวัง” ทำโพลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2565 โดยมี ใบปอ, บุ้ง เนติพร และ เมนู–สุพิชฌาย์ ชัยลอม ถูกดำเนินคดีจากเหตุเดียวกัน แต่แยกดำเนินคดีในศาลอาญา
ในคดีนี้ตำรวจได้ไปขอออกหมายจับพลอยเช่นกัน แต่ศาลเยาวชนฯ ไม่อนุมัติ ทำให้ตำรวจต้องออกเป็นหมายเรียก และแยกดำเนินคดีในศาลเยาวชนฯ (อ่านคำฟ้อง)
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
คนจำนวนมากกลับมามีความหวังกับประเทศไทยอีกครั้งเมื่อเห็นเยาวชนออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่เบื้องหลังของภาพเหล่านี้คือพวกเขาอาจต้องขัดแย้งกับครอบครัว หลายคนถูกพ่อแม่ตัดเงิน ถูกครอบครัวใช้ความรุนแรง ถูกขู่ว่าจะส่งไปเรียนต่างประเทศ เลวร้ายที่สุดคือถูกตัดขาดจากครอบครัวอย่างไม่ไยดี
พลอยเป็นหนึ่งในเยาวชนกลุ่มนี้ที่มีปัญหากับครอบครัวจนต้องออกจากบ้าน ต่อมาจึงตัดสินใจไปอาศัยอยู่กับ บุ้ง–เนติพร เพราะตนเองก็ไม่มีทางเลือก โดยเห็นว่าบุ้งไม่ใช่คนอื่นคนไกลและก็ดูเป็นผู้ใหญ่ที่น่าจะเชื่อใจได้
คนทั่วไปจดจำพลอยในฐานะเด็กที่เคลื่อนไหวกับทะลุวังทั้งๆ ที่อายุไม่ถึง 18 ปี บ้างอาจคุ้นๆ ว่าช่วงหนึ่งพลอยโพสต์ขายสติกเกอร์หาเลี้ยงตัวเอง แต่ไม่มีใครรู้ถึงว่าความเป็นอยู่และสภาพจิตใจของพลอยเป็นอย่างไร
กระทั่งเดือนกันยายน ปี 2565 พลอยประกาศแยกทางกับกลุ่มทะลุวัง โดยระบุเหตุผลว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางการเคลื่อนไหว และรู้สึกว่าตนอาจถูกแสวงประโยชน์จากความเป็นเยาวชนจาก บุ้ง–เนติพร อดีตสมาชิกกลุ่มทะลุวังที่เป็นผู้ปกครองของพลอยอยู่ช่วงหนึ่ง การออกมาประกาศในครั้งนั้นทำให้กลุ่มทะลุวังเผชิญข้อครหาจากสังคมพอสมควร มีความเห็นแตกออกเป็นหลายฝั่ง จากนั้นเรื่องก็เงียบไป
ต่อมาเรื่องนี้กลับมาเป็นกระแสอีกครั้งในช่วงจัดตั้งรัฐบาล เดือนสิงหาคม ปี 2566 หลังจากที่กลุ่มทะลุวังไปทำกิจกรรมที่พรรคเพื่อไทย แล้วปรากฎว่ามีภาพเยาวชนนักกิจกรรมในกลุ่มดูจะมีสภาวะทางอารมณ์ไม่มั่นคง นั่นเป็นจังหวะที่พลอยกลับมาพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้งในเอกซ์ นำมาซึ่งการถกเถียงที่ว่า เมื่อเด็กและเยาวชนมีสิทธิแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แต่จะระวังการแสวงประโยชน์หรือสถานการณ์ที่เด็กตกอยู่ในความเสี่ยงทางร่างกาย จิตใจ และกฎหมายอย่างไร
เมื่อเกิดข้อขัดแย้งกันในทางส่วนตัวของคนในขบวนการประชาธิปไตย มันเป็นเรื่องที่พูดลำบาก ผู้ที่ออกมาพูดเผชิญความเสี่ยงว่าจะถูกเมิน ถูกกังขา หรือถูกซ้ำเติมจากสังคม
พลอยเล่าว่า บางช่วงที่ทำกิจกรรมร่วมกับทะลุวัง ถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐหนักขึ้นเรื่อยๆ กระแสม็อบซาลงจนไม่อยากเคลื่อนไหวต่อ เพื่อนหลายคนทยอยหยุดเคลื่อนไหวแล้วกลับไปหาครอบครัว พลอยก็อยากไปจากตรงนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถออกมาจากบุ้งได้ เพราะถูกตัดขาดจากเครือข่ายทางสังคมอื่นไปแล้ว ทั้งหมดนี้ทำให้สุขภาพจิตพลอยเข้าขั้นแย่
ทั้งนี้ หลังจากที่ บุ้ง-เนติพร เสียชีวิตขณะอดอาหารเรียกร้องสิทธิประกันตัวในเรือนจำ พลอยออกมาประกาศอโหสิกรรมให้บุ้ง พร้อมยืนยันว่าไม่มีใครสมควรเสียชีวิตในคุกจากคดีทางการเมือง
เหตุผลที่ทำให้พลอยตัดสินใจลี้ภัยคือ ระดับการคุกคามที่หนักขึ้นจนลามไปถึงคนในครอบครัว แม่ของตนได้รับจดหมายข่มขู่จากบุคคลที่ใช้ชื่อปลอม
อีกกรณีคือ มีบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐโทรมาหาพ่อกับแม่แล้วพูดทำนองว่ามีทุนการศึกษาจะให้เพื่อให้พลอยกลับไปเรียนหนังสือ
“เขาอ้างว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาธิการ มีทุนการศึกษามาให้เราเพราะว่าเห็นเราเรียนดี อยากให้เรากลับไปเรียนหนังสือ พ่อก็เลยบอกว่าขอแอดไลน์หน่อย อยากรู้ว่าเป็นใคร แล้วพอแอดไลน์ไป รูปโปรไฟล์ก็คือ (ทรงผม) ขาวสามด้าน”
พลอยตั้งข้อสังเกตว่า ไม่น่าจะใช่เจ้าหน้าที่กระทรวงฯ ดังที่แอบอ้าง เพราะเท่าที่ดูจากภาพในไลน์ ดูจะคล้ายกับทหารมากกว่า อย่างไรก็ตามประชาไทไม่สามารถตรวจสอบเรื่องดังกล่าวได้
ช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2565 พลอยตัดสินใจออกนอกประเทศพร้อมกับ เมนู–สุพิชฌาย์ โดยใช้เวลาระหว่างกระบวนการลี้ภัย 3 เดือน โดยช่วงแรกไปอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้านก่อน ทว่าก็ไม่ได้ปลอดภัยขึ้นมาเท่าไหร่ ถูกข่มขู่ว่าจะมีชะตากรรมไม่ต่างจากผู้ลี้ภัยคนก่อนๆ ที่ถูกบังคับสูญหาย จึงย้ายไปยังอีกประเทศหนึ่งที่ดูจะปลอดภัยกว่า หลังจากได้รับความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศก็ทำให้ทั้งคู่มาถึงแคนาดาได้อย่างปลอดภัย
เมื่อประชาไทถามว่า อะไรที่ทำให้เยาวชนคนหนึ่งผ่านมรสุมเรื่องร้ายเหล่านี้มาได้ พลอยให้เครดิตเพื่อนๆ ที่เคลื่อนไหวด้วยกัน รวมถึงแม่และน้อง ที่คอยเป็นกำลังใจให้เสมอไม่ว่าจะเลือกเดินทางที่ดูบ้าบิ่นขนาดไหน
“ช่วงที่ออกไปใหม่ๆ ไม่สามารถติดต่อแม่ น้อง เพื่อนได้เลย ร่ำลาไม่ได้ด้วยซ้ำ เศร้ามาก ช่วงออกใหม่ๆ น่าจะร้องไห้ทั้งอาทิตย์ เรื่องที่เศร้าและเสียใจที่สุดน่าจะเป็นเรื่องแม่กับน้อง น้องก็ยังเด็กอยู่ และแม่ก็เป็นคนที่ซัพพอร์ตมาตลอด ก็เลยเสียใจที่ไม่ได้อยู่กับแม่กับน้อง”
ในปัจจุบัน พลอยจริงจังกับการเขียนนิยายในเวลาว่าง ยังคิดไม่ตกกับเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยคล้ายๆ กับวัยรุ่นคนอื่น แต่สนใจเข้าเรียนด้านอักษรศาสตร์เป็นพิเศษ หากอยู่เมืองไทยคงเลือกคณะแนวนี้เหมือนกัน เพราะว่าไม่ชอบเลขจริงๆ มหาวิทยาลัยที่เล็งไว้ถือเป็นอันดับต้นๆ ของแวนคูเวอร์ ซึ่งก็ทำให้พลอยยังหวั่นๆ
ส่วนความตั้งใจที่อยากเห็นโลกใบนี้เปลี่ยนแปลง อยากทำให้เมืองไทยดีขึ้น สิ่งนั้นนั้นยังมีอยู่ เพียงแต่วิธีการเคลื่อนไหวคงไม่ใช่แบบที่ตัวเองเคยทำตอนอายุ 15 แล้ว หลังจากนี้ไปคงเปลี่ยนบทบาทตัวเองมาเป็นผู้สนับสนุนผู้ลี้ภัยรุ่นใหม่ในอนาคต บอกเล่าประสบการณ์การเคลื่อนไหวตั้งแต่เยาวชน อยากขับเคลื่อนเรื่องต่างๆ ในแบบที่ตัวเองมีความสุขกับมันเพื่อจะได้ทำไปยาวๆ
หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ต่อศักดิ์ จินดาสุขศรี และชานันท์ ยอดหงษ์ แนะนำบทความ "การแปลงฐานที่มั่นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว : การเมืองเชิงพื้นที่ในทศวรรษ 2520" (2562) ของภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ เมื่อรัฐบาลในยุคสงครามเย็นพยายามเข้ายึดคืนฐานที่มั่นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) และเมื่อรัฐบาลสามารถเอาชนะ พคท. ก็พยายามเปลี่ยนแปลงฐานที่มั่น พคท. ในพื้นที่ป่าเขาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อสร้างความหมายใหม่ให้กับสถานที่เหล่านี้ ติดตามรับชมเย็นวันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคมนี้ 18.00 น. #หมายเหตุประเพทไทย
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
อร หรือ ปุณิกา ชูศรี อดีตแม่ค้าขายข้าวแกงย่านพหลโยธิน ที่ออกมาร่วมชุมนุมทางการเมืองกับคนเสื้อแดงมาตั้งแต่ปี 52-53 เพราะสนใจปัญหาทางการเมือง แต่ปัจจุบันต้องกลับไปทำสวนหลังจากต้องสู้คดี “ชายชุดดำ” อยู่นานหลายปีและข้อกล่าวหานี้ก็กลายเป็นผลกระทบที่ทำให้เธอไม่สามารถอยู่ทำมาค้าขายที่เดิมได้
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
อร เป็นหนึ่งใน 5 คน ที่ถูกจับกุมหลัง คสช.ยึดอำนาจช่วงต้นเดือนกันยายน 2557 และถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่ม “ชายชุดดำ” ผู้ก่อเหตุใช้อาวุธสงครามยิงต่อสู้กับทหารที่เข้าสลายการชุมนุมของ นปช. เมื่อคืนวันที่ 10 เม.ย.2553 แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะสู้คดีไปพร้อมกับจำเลยคนอื่นๆ จนศาลยกฟ้องทั้ง 3 ศาล ในข้อหาครอบครองอาวุธ แต่เธอก็ถูกฟ้องร่วมกับจำเลยอีกคนคือชำนาญ ภาคีฉาย เป็นคดีที่สองตามมา
ในคดีที่สองนี้อรและชำนาญถูกฟ้องด้วยข้อหาพยายามฆ่าทหารและคดีนี้พล.ท.ชิษณุพงศ์ รอดศิริ แม่ทัพภาคที่ 1 ยังเป็นโจทก์ร่วมอยู่ด้วยในฐานะผู้ได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม แม้ในข้อเท็จจริงของคดีจะไม่ได้ต่างกับคดีแรกจนถึงขนาดหลักฐานอาวุธที่ใช้กล่าวหายังเป็นหลักฐานชุดเดียวกันที่ศาลเคยยกฟ้องไปแล้ว
ประชาไทชวนคุยกับอรถึงสิ่งที่เธอต้องเจอในกระบวนการยุติธรรมตลอด 10 ปีที่ผ่านมาก่อนที่วันพรุ่งนี้ (1 ต.ค.67) ที่ศาลอาญา รัชดาฯ จะมีนัดฟังคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีที่สองนี้
หมายเหตุประเพทไทย LIVE ชานันท์ ยอดหงษ์และปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ รีวิว "ในนามของความมั่นคงภายใน" หลังอ่านหนังสือจบ ข้อค้นพบ พร้อมฟีดแบก พบกันเย็นวันอาทิตย์ที่ 29 ก.ย. 67 เวลา 18.00 น.
สำหรับหนังสือ "ในนามของความมั่นคงภายใน : การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย" ผลงานของพวงทอง ภวัครพันธุ์ ปรับปรุงมาจากผลงานภาษาอังกฤษ "Infiltrating Society: The Thai Military’s Internal Security Affairs" (2021) ภายใต้สถาบัน Yusof Ishak ISEAS โดยผู้เขียนอธิบายความพยายามแทรกซึม-ควบคุมสังคมและการเมืองผ่านกลไกต่างๆ ของกองทัพและระบบราชการ โดยเฉพาะบทบาทของ กอ.รมน. กลุ่มมวลชนอนุรักษ์นิยม โครงการและงบประมาณกองทัพที่ไม่เกี่ยวข้องกับทหาร โดยอธิบายตั้งแต่ยุคสงครามเย็น และภายหลังรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา ฯลฯ (อ่านรายละเอียด)
ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทย
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ตอนจบของรายงานพิเศษขนส่งสาธารณะขอนแก่น สำรวจบทบาทภาครัฐและหน่วยงานท้องถิ่นที่ดูแลขนส่งสาธารณะ โดยขนส่งจังหวัดมีแผนยกเครื่องเส้นทางเดินรถสาธารณะขอนแก่น 76 เส้นทาง ส่วน อบจ.ขอนแก่นได้รับถ่ายโอนสถานีขนส่งผู้โดยสาร 4 แห่ง ได้แก่ สถานี บขส.3, ชุมแพ, บ้านไผ่ และภูเวียง โดย อบจ.ขอนแก่นยังไม่มีภารกิจเดินรถสาธารณะ แต่มีโครงการนำร่องที่ร่วมมือกับ ม.ขอนแก่น และภาคเอกชนวิจัยและออกแบบรถเมล์ด่วนพิเศษ BRT
การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในจังหวัดขอนแก่นถือเป็นประเด็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะแผนพัฒนาระบบขนส่งฉบับใหม่ที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน อย่างไรก็ตามมีคำถามถึงขอบเขตอำนาจและบทบาทของแต่ละองค์กรในการจัดการระบบขนส่ง
พงศ์ธร จันทราธิบดี ขนส่งจังหวัดขอนแก่น อธิบายว่า กรมการขนส่งทางบกมีหน้าที่ดูแลหลายด้าน เช่น การควบคุมทะเบียนรถ ออกใบอนุญาตขับขี่ และดูแลบริการรถขนส่งสาธารณะ "ในส่วนของรถโดยสารสาธารณะ ถือเป็นภารกิจหลักของกรมการขนส่งทางบกมาตั้งแต่ต้น"
พงศ์ธรกล่าวถึงอดีตของระบบรถโดยสารในขอนแก่นว่า ครั้งหนึ่งระบบรถโดยสารได้รับความนิยมมาก มีหลายสายให้บริการ แต่หลังโควิด-19 ประชาชนเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น เนื่องจากรู้สึกว่าไม่สะดวกในการใช้บริการขนส่งสาธารณะ ทำให้จำนวนเที่ยวรถลดลง และการเพิ่มเที่ยวรถหรือขยายเส้นทางทำได้ยาก ปัญหานี้เกิดขึ้นทั่วประเทศ พงศ์ธรกล่าวว่า "คำถามคือจะทำอย่างไรให้ประชาชนกลับมาใช้บริการรถขนส่งสาธารณะมากขึ้น" ซึ่งเป็นปัญหาที่ทุกจังหวัดต้องหาทางแก้ไข
จังหวัดขอนแก่นได้เสนอแผนพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะใหม่ โดยมุ่งเน้นที่การปรับปรุงเส้นทางและเงื่อนไขการเดินรถให้ทันสมัยและเชื่อมโยงจุดสำคัญต่างๆ ในเมือง เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และสถานที่ราชการ เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกมากขึ้น แผนนี้ต้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยประชาชนสามารถร้องขอเส้นทางหรือแจ้งปัญหาผ่านทางสำนักงานขนส่งจังหวัดหรือสายด่วน 1584 เพื่อให้ขนส่งจังหวัดสามารถประสานงานกับผู้ประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกปัญหาหนึ่งของการขนส่งสาธารณะในขอนแก่นคือ ประชาชนไม่ทราบเวลาการเดินรถและต้องรอเป็นเวลานาน ต่างจากระบบการเดินทางอื่นๆ ที่มีตารางเวลาชัดเจน พงศ์ธรย้ำว่า "หากเรามีเทคโนโลยี เช่น แอปพลิเคชันตรวจสอบตำแหน่งของรถ ผมเชื่อว่าจะมีผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น" เขายกตัวอย่างรถบัสของมหาวิทยาลัยขอนแก่นและขอนแก่นซิตี้บัสที่ใช้เทคโนโลยีในการติดตามเส้นทาง นอกจากนี้ยังมีแนวคิดการให้บริการฟรีในจุดเชื่อมต่อสำคัญภายในเขตเทศบาล ซึ่งประชาชนสามารถจอดรถยนต์และใช้บริการขนส่งสาธารณะแทน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้บริการมากขึ้น
ในปัจจุบัน มีการแก้กฎกระทรวงเพื่อให้หน่วยงานท้องถิ่นสามารถเข้ามาเป็นผู้ประกอบการขนส่งได้ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐส่วนกลาง ขอนแก่นขอนแก่นมีรายได้จากการเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับขนส่งประมาณ 800 ล้านบาทต่อปี ซึ่งสามารถนำมาพัฒนาระบบขนส่ง อย่างไรก็ตาม ท้องถิ่นยังต้องจัดสรรงบประมาณนี้เพื่อดูแลด้านอื่น ๆ ของประชาชนด้วย
ในส่วนของการออกใบอนุญาตสำหรับรถโดยสารสาธารณะ หากรถหรือสายไหนไม่วิ่งตามเงื่อนไข พงศ์ธรกล่าวว่าจะถือว่าผิดเงื่อนไขการเดินรถ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีการลดจำนวนเที่ยวรถในบางเส้นทางเนื่องจากจำนวนผู้ใช้บริการลดลง แต่เส้นทางที่รับส่งนักเรียนในช่วงเวลาเร่งด่วนยังมีผู้โดยสารหนาแน่น สะท้อนให้เห็นว่ารถโดยสารสาธารณะยังมีความจำเป็น และการควบคุมมาตรฐานการเดินรถเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารยังคงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ
พิกุล มหานาม นักวิชาการขนส่งชำนาญการ สำนักงานขนส่งจังหวัดขอนแก่น ระบุว่า ปัญหาหลักของระบบรถโดยสารคือการพัฒนาที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง ซึ่งผู้ประกอบการรายเดียวไม่สามารถรับภาระได้ จึงต้องเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าร่วมบริการ แต่การให้บริการในลักษณะนี้ยังมีต้นทุนสูง เช่น เจ้าของรถต้องเติมน้ำมันวันละ 500 บาท แต่ละวันอาจได้ผู้โดยสารเพียง 8 คน ค่าโดยสารต่อคนอยู่ที่ 11 บาท แต่รายได้ต่อวันเพียง 88 บาท ไม่เพียงพอต่อการดำเนินกิจการ ขณะที่ภาครัฐไม่ได้ช่วยเหลือแบกรับต้นทุนใดๆ
เมื่อเกิดโควิด-19 ระบบรถโดยสารหยุดชะงัก ผู้ประกอบการจึงไม่สามารถดำเนินกิจการได้ นอกจากนี้ การขออนุญาตเส้นทางก็มีการแข่งขันสูง ผู้ประกอบการต้องจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทุก 7 ปี โดยเฉลี่ยตกปีละ 1,000 บาท
ปัจจุบัน ขนส่งจังหวัดขอนแก่นกำลังดำเนินแผนพัฒนารถโดยสารประจำทาง หมวด 1 และ หมวด 4 แผนนี้ได้รับการนำเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกประจำจังหวัดแล้ว เป้าหมายคือเพื่อฟื้นฟูเส้นทางที่ใช้มาแล้ว 30-40 ปี ซึ่งไม่สอดคล้องกับผังเมืองปัจจุบัน บางเส้นทางเคยมีผู้ประกอบการขอวิ่งรถวันละ 300-400 เที่ยว แต่เมื่อไม่สามารถให้บริการได้ก็ต้องปรับลดเที่ยวรถ ส่วนเส้นทางเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟก็มีแผนจะเพิ่มเส้นทางให้เพียงพอ
เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในระหว่างการรอแผนพัฒนา ขนส่งจังหวัดขอนแก่นได้จัดตั้ง "คลินิกขนส่ง" ให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหา รวมถึงจัดสัมมนาและอบรมประจำปีเพื่อพัฒนาความรู้ให้ผู้ประกอบการ ขนส่งยังบันทึกข้อมูลเส้นทางและเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ แม้ในโซเชียลมีเดียจะยังไม่อัปเดตมากนัก แต่ทางขนส่งก็พยายามกระจายข้อมูลในช่องทางอื่น ๆ อย่างเต็มที่
ในการดำเนินงานขนส่งสาธารณะในประเทศไทย จะมีคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานส่วนกลาง ทำหน้าที่ดูแลการดำเนินงานของรถโดยสารหมวด 2 ที่ให้บริการเส้นทางระหว่างกรุงเทพฯ และภูมิภาคต่าง ๆ รวมถึงหมวด 3 ที่ให้บริการรถโดยสารระหว่างจังหวัด ขณะที่ในระดับท้องถิ่น คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกประจำจังหวัดจะทำหน้าที่ดูแลการขนส่งภายในจังหวัดเอง
สำหรับจังหวัดและภูมิภาค คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกประจำจังหวัดมีหน้าที่กำกับดูแลรถโดยสารหมวด 1 ซึ่งให้บริการเส้นทางภายในเขตเทศบาล สุขาภิบาล และเส้นทางต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ควบคุมรถโดยสารหมวด 4 ซึ่งครอบคลุมเส้นทางระหว่างอำเภอภายในจังหวัด
ตามที่ระบุในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก มาตรา 20 คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกประจำจังหวัดได้รับอำนาจในการดำเนินงานในหลายด้าน เช่น การกำหนดเส้นทางการเดินรถ การควบคุมจำนวนผู้ประกอบการขนส่ง และการกำหนดจำนวนรถที่ใช้ในการให้บริการขนส่งสาธารณะ รวมถึงมีอำนาจกำหนดอัตราค่าขนส่งและค่าบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ คณะกรรมการยังต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก และมติของคณะกรรมการนโยบายการขนส่งทางบก และคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง
การกำกับดูแลในระดับท้องถิ่นนี้มีความสำคัญในการทำให้ระบบขนส่งสาธารณะสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่
ข้อมูลในเดือนกรกฎาคม 2567 จังหวัดขอนแก่นมีเส้นทางเดินรถโดยสารรวมทั้งหมด 147 เส้นทาง อย่างไรก็ตาม มีจำนวน 46 เส้นทางที่ไม่มีผู้ประกอบการ ในหมวด 1 ซึ่งประกอบไปด้วยเส้นทางเดินรถผ่านสถานีขนส่งขอนแก่น และเดินรถภายในเขตเทศบาล สุขาภิบาล เมือง และเส้นทางต่อเนื่อง มีเส้นทางทั้งหมด 27 เส้นทาง แต่ไม่มีผู้ประกอบการใน 6 เส้นทาง ส่วนในหมวด 2 ที่เป็นเส้นทางรถไปกรุงเทพฯ มีเพียง 1 เส้นทาง ในขณะที่หมวด 3 ซึ่งครอบคลุมรถระหว่างจังหวัด มีเส้นทางเดินรถทั้งหมด 71 เส้นทาง แต่ไม่มีผู้ประกอบการใน 26 เส้นทาง หมวด 4 ซึ่งเป็นเส้นทางรถระหว่างอำเภอ มีจำนวน 49 เส้นทาง โดยไม่มีผู้ประกอบการใน 14 เส้นทาง
การพัฒนาระบบขนส่งของขอนแก่นครอบคลุมการปรับปรุงรถโดยสารประจำทางหมวด 1 และหมวด 4 รวมทั้งหมด 76 เส้นทาง โดยแบ่งเป็นเส้นทางในหมวด 1 จำนวน 27 เส้นทาง และในหมวด 4 จำนวน 49 เส้นทาง การพัฒนาเหล่านี้มีวัตถุประสงค์หลักอยู่ 6 ด้าน ประการแรกคือการกำหนดมาตรการและแนวทางในการปรับปรุงรถโดยสารเพื่อเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพในการให้บริการ ประการที่สองคือการพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพในการประกอบการขนส่ง ประการที่สามมุ่งเน้นการส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการ ผู้ขับรถ และผู้โดยสาร
ประการที่สี่คือการปรับปรุงระบบการให้บริการข้อมูลขนส่งสาธารณะให้สามารถเข้าถึงและใช้งานได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังมีวัตถุประสงค์เพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น สุดท้ายคือการส่งเสริมการขนส่งที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ในส่วนของแผนปฏิบัติการ แบ่งออกเป็น 7 ด้านที่สำคัญ โดยด้านแรกคือการปรับปรุงเส้นทางการเดินรถในหมวด 1 และหมวด 4 ด้านที่สองคือการทบทวนเงื่อนไขในการเดินรถ ด้านที่สามเน้นไปที่การปรับอัตราค่าโดยสารให้เหมาะสม ด้านที่สี่เกี่ยวกับการสนับสนุนและพัฒนาผู้ประกอบการขนส่ง ด้านที่ห้าคือการพัฒนาคุณภาพของตัวรถ ผู้ขับรถ และผู้ประจำรถ ส่วนด้านที่หกมุ่งเน้นการเชื่อมโยงระบบขนส่งสาธารณะกับจุดจอด จุดรับส่ง และจุดเชื่อมต่ออื่นๆ สุดท้ายด้านที่เจ็ดคือการจัดการข้อมูลสารสนเทศเพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบขนส่ง
สถานีขนส่งในจังหวัดขอนแก่นที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น (อบจ.) มีทั้งหมด 4 แห่ง ประกอบไปด้วย สถานีขนส่งจังหวัดขอนแก่นแห่งที่ 3 สถานีขนส่งอำเภอชุมแพ สถานีขนส่งอำเภอบ้านไผ่ และสถานีขนส่งอำเภอภูเวียง อบจ. มีหน้าที่ดูแลให้สถานีขนส่งเหล่านี้ได้มาตรฐาน สะอาด สะดวก และปลอดภัยต่อผู้ใช้บริการ พร้อมทั้งประสานงานกับหน่วยงานราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการพัฒนาระบบการขนส่ง เช่น โครงการออกแบบระบบรถโดยสารด่วนพิเศษ (Bus Rapid Transit: BRT) ซึ่งเป็นโครงการนำร่องที่ อบจ. ขอนแก่นร่วมมือกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น และมีบริษัท ขอนแก่นพัฒนาเมือง เคเคทีที จำกัด เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง
อบจ.ขอนแก่นมีบทบาทสนับสนุนด้านการวิจัยในโครงการนี้ โดยไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในการดำเนินงานทั้งหมด แต่เข้าร่วมการประชุมในฐานะคณะกรรมการจัดระบบจราจร ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดปัญหาการจราจรในเขตเมืองและชุมชน ภาระงานหลักของอบจ. คือการดูแลสถานีขนส่งให้เป็นไปตามมาตรฐาน ในขณะที่การดำเนินโครงการ BRT จะมีเทศบาลนครขอนแก่นเป็นผู้นำหลัก
ในส่วนของโครงการรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) ที่กำลังดำเนินการโดย "5 ทหารเสือ" ซึ่งเป็นกลุ่มเทศบาลที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนโครงการนี้ อบจ. ขอนแก่นไม่ได้มีส่วนร่วมและไม่มีอำนาจในการดูแลด้านขนส่งสาธารณะเช่นเดียวกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ของกรุงเทพมหานครฯ
สุภาพร ภูเงิน ผู้อำนวยการกองกิจการขนส่ง อบจ. ขอนแก่น กล่าวว่า ปัจจุบัน อบจ. ขอนแก่นยังไม่มีบริการขนส่งสาธารณะระหว่างอำเภอ มีเพียงรถสองแถวขนาดเล็กที่ผู้ประกอบการเอกชนให้บริการเท่านั้น หน้าที่หลักของ อบจ. ที่เกี่ยวกับขนส่งก็คือการดูแลสถานีขนส่งผู้โดยสารเพื่อเป็นจุดจอดและจุดรับส่งสำหรับรถทุกประเภท เช่น รถทัวร์ รถบัส รถแท็กซี่ และรถสองแถว สถานีขนส่งทั้ง 4 แห่งที่ อบจ. ดูแลอยู่เป็นภารกิจที่ถ่ายโอนมาจากกรมการขนส่งทางบก
สุภาพรยังระบุว่า การสร้างสถานีขนส่งใหม่ในขอนแก่นจำเป็นต้องมีการศึกษาและวิจัยความต้องการของประชาชนอย่างละเอียดเพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นสถานีร้าง แต่เนื่องจากยังไม่มีงบประมาณจากภาครัฐสำหรับการสนับสนุนการวิจัย การถ่ายโอนภารกิจและงบประมาณเพิ่มเติมจะทำให้ อบจ. สามารถดำเนินการได้ทันที
สำหรับพื้นที่ที่ไม่มีสถานีขนส่ง ผู้ประกอบการจะกำหนดจุดจอดเองตามเงื่อนไขของใบอนุญาต จุดจอดบางแห่งเป็นเพียงป้ายทางหลวงทั่วไป แม้กฎหมายจะกำหนดให้จอดรับส่งผู้โดยสารที่สถานีขนส่ง แต่ในความเป็นจริงมีการรับส่งผู้โดยสารนอกจุดจอด ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมายและส่งผลต่อรายได้ของ อบจ. ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้
อบจ. ขอนแก่นมีรายได้หลักจากการเก็บค่าจอดรถที่มาจอดในสถานีขนส่ง ซึ่งในเดือนกรกฎาคม 2567 ได้ปรับค่าจอดสำหรับรถขนาดใหญ่เป็น 30 บาทต่อเที่ยว ส่วนรถขนาดเล็กยังคงเสียในอัตรา 2-15 บาท การตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้ประกอบการเป็นความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่จาก อบจ. และขนส่งจังหวัด ในกรณีที่ผู้ประกอบการฝ่าฝืนข้อกำหนด อบจ. จะประสานงานกับสำนักงานขนส่งจังหวัดเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย
แม้ อบจ. ขอนแก่นจะมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ แต่สุภาพรย้ำว่า อบจ. พร้อมที่จะปรับปรุงการให้บริการขนส่งสาธารณะอย่างต่อเนื่อง หากได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอ ปัจจุบันสถานีขนส่งทุกแห่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้บริการ เช่น ที่นั่งพัก ห้องสุขา และการดูแลความสะอาด
ปัญหาที่พบในสถานีขนส่งคือการมีบุคคลไร้บ้านและสุนัขจรจัด ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้โดยสาร อบจ. ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ การรักษาความสะอาดและความปลอดภัยในสถานีขนส่งเป็นสิ่งสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการของประชาชน
การพัฒนา "ขอนแก่นเมืองอัจฉริยะ" ไม่ได้หมายถึงแค่การนำเทคโนโลยีหรือโครงสร้างพื้นฐานมาใช้เท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยการจัดการงบประมาณและทรัพยากรในระดับท้องถิ่นอย่างเหมาะสม ปัญหาหลักคือการที่งบประมาณยังไม่ถูกกระจายลงมาถึงท้องถิ่นอย่างเพียงพอ ทำให้จังหวัดไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่แท้จริง เช่น การศึกษาวิจัย การสร้างงาน และโครงสร้างพื้นฐาน
นอกจากนี้ การกำหนดนโยบายจากส่วนกลางที่มักล่าช้าก็เป็นอุปสรรคสำคัญ การกระจายอำนาจและงบประมาณสู่ท้องถิ่น รวมถึงการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนและเอกชน จะช่วยพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะและสนับสนุนให้ขอนแก่นเติบโตเป็นเมืองอัจฉริยะที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง